บอร์ดสนทนา สสจ.ลพบุรี
มีนาคม 29, 2024, 07:32:16 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จะ POST กระทู้...กรุณาสมัครสมาชิกก่อนครับเพื่อป้องกัน Spam ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มารู้จักน้ำอัดลมกันเถอะ  (อ่าน 2257 ครั้ง)
DEWS
น้องใหม่ซิงๆ
*
กระทู้: 23


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: ตุลาคม 16, 2010, 07:05:15 am »

ดื่มน้ำอัดลม เสี่ยงกระดูกพรุน-ฟันกร่อน เยาวชนไทย 1.2 ล้านคนติดงอมแงม!!! (สกู๊ปแนวหน้า วันที่ 18/4/2008)
 

 

 

 คุณทราบหรือไม่ว่า?
 ทุกวันนี้ "เด็กไทย" กำลังประสบกับปัญหา "ฟันผุ" อย่างรุนแรง ผลสำรวจของ "กรมอนามัย" พบว่าเด็ก 10 คนจะมีฟันผุ 9 คน
 เด็ก 1 คนฟันผุเฉลี่ย 6 ซี่
 เรียกได้ว่าสถานการณ์อยู่ในระดับสูงทะลุปรอท และเมื่อค้นลึกลงไปพบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้อนาคตของชาติ "ฟันเสีย" มาจากขนมและ...น้ำอัดลม !!!
 " ปัจจุบันเด็กไทยหันมาบริโภคขนมที่มักมีส่วนผสมน้ำตาลและแป้งเป็นส่วนผสมหลักแทนการบริโภคผัก และผลไม้ ซึ่งการบริโภคขนมดังกล่าวล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุทั้งสิ้นเพราะน้ำตาลที่มีอยู่ในน้ำอัดลมส่วนใหญ่เป็นน้ำตาลทรายหรือ ซูโครส ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดที่ก่อให้เกิดฟันผุมากที่สุด เนื่องด้วยเชื้อโรคฟันผุ สามารถเปลี่ยนน้ำตาลซูโคลสให้เป็นกลูแคน ที่มีลักษณะเหนียว คล้ายกาว ทำให้เชื้อจุลินทรีย์เกาะกลุ่มติดแน่นกับผิวฟัน เกิดคราบจุลินทรีย์อย่างสมบูรณ์บนผิวเคลือบฟัน ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดฟันผุได้มากขึ้นหากไม่มีการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีพอ" เป็นคำอธิบายของ นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย ชี้แจงพิษภัยจากการดื่มน้ำอัดลม
 "น้ำอัดลม" มีส่วนประกอบหลักที่สำคัญคือ น้ำ สารปรุงแต่งกลิ่นและสี กรดหลาย ชนิด และมี "กาเฟอีน" ซึ่งเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง หากได้รับในปริมาณมาก อาจจะทำให้มีอาการมือสั่น กระสับกระเส่า ไม่มีสมาธิ ใจสั่น และความดันเลือดเพิ่มขึ้น งานวิจัยของแพทย์หลายแห่ง ระบุว่า น้ำอัดลมมีน้ำตาล ให้พลังงานเพียงอย่างเดียว โดยไม่ มีสารอาหารอื่นๆ เครื่องดื่มเหล้านี้ยังทำให้ผู้ดื่ม อ้วน ท้องอืด ปวดท้อง เพราะกรดคาร์บอนิกทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ และยังทำให้กระดูกพรุน เพราะกาเฟอีนทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ดื่มสูญเสียแคลเซียม น้ำอัดลมมี กรดฟอสฟอริก ทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลง กระดูกเปราะ มีผลให้กระดูกหักง่าย หรือกลายเป็น "โรคกระดูกพรุน" ก่อนวัยอันควร
 งานวิจัยยังพบว่า การดื่มน้ำอัดลมวันละครั้ง อาจทำให้เด็กอายุ 12 ปี มีโอกาสฟันกร่อน ถึงร้อยละ 59 เด็กที่ดื่มน้ำอัดลมลดลงจากวันละ 2 แก้วเหลือ 1 แก้ว ภายใน 12 เดือน จะลดน้ำหนักได้มากกว่ากลุ่มที่ไม่ลด การดื่มน้ำอัดลมแต่ละกระป๋อง จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคอ้วนได้ถึงร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่ม
 ข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นถึงพิษภัยของน้ำอัดลม ที่มีมากมาย แต่ทว่า น้ำอัดลม ยังคงเป็น เครื่องดื่มสุดฮิตของคนไทย ดูได้จาก"มูลค่าตลาดน้ำอัดลม" ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี คาดว่าตลาดน้ำอัดลมในประเทศไทยมีมูลค่าสูง 4 หมื่นล้านบาท โดยอัตราการดื่มน้ำผสมน้ำตาลของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 110 ขวด /คน/ปี สอดคล้องกับการสำรวจ "การดื่มนมของนักเรียน ป.4 ป.6 และทัศนะของผู้ปกครองเรื่องการดื่มของเด็ก" ของ "สำนักวิจัยเอแบคโพลล์" ในช่วงที่ผ่านมาพบข้อมูลที่น่าตกใจว่า.... เด็ก ป.4 ร้อยละ 92 เด็ก ป.6 มากถึงร้อยละ 91.7 เข้าใจว่าการไม่ดื่มนมมีผลต่อสุขภาพ เช่นเดียวกับผู้ปกครอง ร้อยละ 61 รู้ดีว่าในนมมีสารอาหารซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก เช่น โปรตีน แคลเซียม วิตามิน
 การสำรวจพบว่าเด็ก ป. 4 และ ป. 6 ดื่มน้ำอัดลมอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก ประมาณการว่า เด็ก ป.4- ป.6 ซึ่งอยู่ในวัย 10-12 ปี ดื่มน้ำอัดลมมากถึง... "1.2 ล้านคน"!!!
 นพ.ณรงค์ศักดิ์อธิบายว่า หากเด็กมีการบริโภคขนมหวานหรือน้ำอัดลมในปริมาณที่มากเกินไปในแต่ละวัน จะทำให้เด็กไม่รู้สึก หิวตลอดทั้งวัน และไม่ถือว่าสิ่งที่บริโภคเข้าไปนั้นเป็นอาหาร เพราะร่างกายไม่ได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และหลากหลายตามที่ร่างกาย ต้องการ เนื่องจากขนม ท็อฟฟี่ เยลลี น้ำหวานหรือน้ำอัดลม ที่บริโภคนั้นล้วนมีน้ำตาลประกอบในปริมาณมากแทบทั้งสิ้น
 " น้ำอัดลมนับเป็นเครื่องดื่มที่น่าห่วงมากที่สุด เพราะส่วนประกอบหลักของน้ำอัดลม ส่วนใหญ่คือน้ำตาลและน้ำ เมื่อเด็กดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋อง จึงเท่ากับได้รับน้ำตาลในปริมาณที่เทียบเท่ากับการอมท็อฟฟี่ 17 เม็ดทีเดียว และการดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ ยังส่งผลให้เกิดฟันกร่อนตามมาอีกด้วย " น.พ.ณรงค์ศักดิ์ ระบุ
 น้ำอัดลม 1 ขวด มีน้ำตาลผสมอยู่ ประมาณ 13 ช้อนชา น้ำอัดลม จึงเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มชนิดอื่น
 หากเทียบปริมาณ 200 มิลลิลิตร หรือ 1 แก้ว น้ำหวานชนิดเข้มข้นมีน้ำตาลเฉลี่ย 4 ช้อนชา น้ำหวานทั่วไปมี 7 ช้อนชา นมถั่วเหลืองมี 5 ช้อนชา น้ำผลไม้มี 5 ช้อนชาครึ่ง ชาเขียวมี 5 ช้อนชา
 อธิบดีกรมอนามัย เปรียบเทียบว่า เด็กที่นิยมบริโภคเยลลี่ขนาด 1 ถ้วยเล็ก ซึ่งมีปริมาณน้ำตาล 26 กรัม ครั้งละ 4-5 ถ้วย ตามด้วยน้ำอัดลม 1 กระป๋อง ก็จะทำให้เด็กได้รับปริมาณน้ำตาล ที่มากเกินความต้องการของร่างกาย และเกินกว่ามาตรฐานที่ องค์การอนามัยโลก กำหนดให้บริโภคน้ำตาล ซึ่งรวมถึงน้ำตาลจากทุกแหล่งอาหารไม่เกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่ ควรได้ รับใน 1 วัน คือ เด็กเล็กควรบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลไม่เกิน 160 กิโลแคลอรี หรือน้อยกว่า 40 กรัมต่อวัน หรือไม่ควรเกิน 8-10 ช้อนชา
 " การบริโภคขนมหวานและดื่มน้ำอัดลมยังคง เป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงสำหรับเด็ก เพราะเนื่องจากเป็นวัยที่สมควรจะได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ไม่ใช่เพียงแค่สารอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น"
 นพ.ณรงค์ศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ปกครองและครูจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการส่ง เสริมให้ความรู้แก่เด็ก เกี่ยวกับการบริโภคที่ถูกหลักโภชนาการและการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยให้เด็กมีสุขภาพช่องปากที่ดีอัน จะเป็นการป้องกันการเกิดโรคฟันผุตามมา
 "น้ำอัดลม" เปรียบเสมือนภัยเงียบที่ทำลายสุขภาพร่างกายระยะยาว...ถึงเวลาหรือยังที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องชี้ให้เยาวชนและผู้คนตระหนักถึงภัยเงียบชนิดนี้อย่างจริงจัง
1.    ปัจจุบันเครื่องดื่มยอดนิยมประเภทหนึ่ง ในประเทศไทยที่นิยมดื่มกันมากในทุกเพศ ทุกวัย ก็คือ “น้ำอัดลม” ซึ่งน้ำอัดลมที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปนั้น มีหลายยี่ห้อด้วยกัน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า น้ำอัดลมที่ท่านดื่มอยู่นี้มีโทษอย่างไรบ้าง ทางด้านคุณคงไม่ต้องพูดถึง เพราะน้ำอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด (ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวกวัตถุกันเสีย และสีมากกว่า บางคนชอบดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ หลังทาอาหารแต่ละมื้อ ลองเดาสิว่าคนเหล่านั้นได้รับผลกระทบอะไรบ้าง
ร่างกายของคนเราขณะย่อยอาหารจะมีอุณหภูมิ 37 องศา แต่น้ำอัดลมเย็น ๆ ที่ดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิต่ำกว่า 37 องศามาก และมีอุณหภูมิเกือบจะ 0 องศาในบางครั้ง กรณีเช่นนี้ทำให้ประสิทธิภาพ ในการย่อยอาหารของร่างกายต่ำลง การย่อยอาหารทำได้ยากขึ้นและย่อยอาหารได้น้อยลง ในความเป็นจริงแล้ว อาหารในร่างกายจะเสีย และส่งแก๊สซึ่งมีกลิ่นเหม็นออกมา อาหารจะเน่าเปื่อย และทำให้เกิดสารพิษซึ่งจะถูกดูดซึมในลำไส้ และจะไหลเวียนในระบบเลือดไปทั่วร่างกาย สารพิษซึ่งแพร่ออกไปทั่วร่างกายนี้ จะส่งผลให้เชื้อโรคต่าง ๆ เจริญเติบโตได้ดีขึ้น คุณเคยคิดก่อนดื่มหรือไม่ว่าคุณดื่มอะไรเข้าไป คุณกำลังกลืนสารคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีใครในโลกจะแนะนำให้คุณดื่ม เรามาดูส่วนประกอบของน้ำอัดลมกันดีกว่า ว่าส่วนประกอบนั้นมีอะไรบ้าง

 


ส่วนประกอบของน้ำอัดลม
1. น้ำ เป็นส่วนประกอบหลักของน้ำอัดลม เป็นน้ำที่สะอาด อาจจะใช้น้ำประปา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากน้ำบาดาลที่ผ่านการกรอง และฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน
2. สารให้รสหวาน สารให้รสหวาน คือ น้ำตาลทราย นำมาผสมน้ำ แล้วต้มทำเป็นน้ำเชื่อมและกรอง ปัจจุบันมีการใช้สารให้ความหวานตัวอื่นเพิ่มมา เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพด (Corn syrup) สารทดแทนความหวาน เช่น แอสปาเทม
3. สารปรุงแต่งที่เรียกกันว่า หัวน้ำเชื้อ ซึ่งจะเป็นส่วนผสมของสารที่ให้กลิ่นและสี กับกรดบางชนิดที่ใช้ในอาหาร เช่น กรดมะนาวหัวน้ำเชื้อจะนำมาผสมในน้ำเชื่อม


4. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะนำมาอัดลงในน้ำหวานที่ผสมไว้
5. คาเฟอีน ในบางยี่ห้อ
6. วัตถุกันเสีย
น้ำอัดลมบรรจุขวดหรือกระป๋อง ที่มีจำหน่ายกันทั่วไปนั้น แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน ตามลักษณะเฉพาะของกลิ่น รสและสีของผลิตภัณฑ์ ดังนี้
ประเภทที่ 1 น้ำอัดลมรสโคล่า หรือน้ำดำ น้ำอัดลมประเภทนี้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อโคล่า ซึ่งมีคาเฟอีนที่สกัดจากส่วนใบของต้นโคคา อยู่ด้วยปริมาณของคาเฟอีนในน้ำอัดลม ชนิดโคล่าแต่ละยี่ห้อก็จะแตกต่างกันไป แล้วแต่สูตรลับเฉพาะของแต่ละบริษัท สำหรับสีน้ำตาลเข้มที่เป็นที่มาของสีน้ำดำนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากสีผสมอาหาร ที่เป็นสีของน้ำตาลเคี่ยวไหม้
ประเภทที่ 2 น้ำอัดลมไม่ใช่โคล่า ได้แก่น้ำอัดลมสีขาวใสที่ปรุงแต่ง ด้วยหัวน้ำเชื้อเลมอน-ไลม์ น้ำอัดลมที่ปรุงแต่งกลุ่นรสเลียนแบบน้ำผลไม้ เช่น ส้ม องุ่น มะนาว ลิ้นจี่ น้ำหวานอัดลม พวกน้ำเขียว น้ำแดง และน้ำอัดลมที่สีเหมือนโคล่าแต่ไม่ใช่ คือ รูทเบียร์ เป็นต้น น้ำอัดลมเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคาเฟอีน เนื่องจากไม่ได้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อชนิดโคล่า อย่างไรก็ตามอาจมีการ เติมคาเฟอีนสกัดเล็กน้อยในส่วนผสม เพื่อให้ได้ฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีน ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าเมื่อดื่ม ตามแต่สูตรของผู้ผลิต ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
ด้วยคุณค่าทางโภชนาการของน้ำอัดลมอยู่ที่ น้ำตาลซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ แต่จุดอ่อนของน้ำอัดลมอยู่ที่ผู้ดื่ม ได้พลังงานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก เรียกว่าพลังงานที่ว่างเปล่า หรือ Empty calories  ดังนั้นถ้าดื่มน้ำอัดลมมาก และรับประทานอาหารอื่นน้อย ก็อาจขาดสมดุลทางโภชนาการ ที่สำคัญคือในเด็กยิ่งเด็กเล็ก ๆ ยิ่งน่าเป็นห่วง ถ้าปล่อยให้ดื่มแต่น้ำอัดลม ไม่ได้ดูแลให้รับประทานอาหารให้ครบ ตามหลักโภชนาการอาจขาดสารอาหารได้ บางครั้งก็ให้ดื่มในเวลาที่ใกล้จะถึง หรือในระหว่างรับประทานอาหารมื้อหลัก ทำให้อิ่มและกินอาหารได้น้อยลง                                                                                              ข้อเสียอีกประการหนึ่งเนื่องจากน้ำอัดลม มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก และมีสภาวะเป็นกรดด้วย อาจเป็นเหตุให้ฟันผุ นอกจากนี้น้ำอัดลมยังอาจทำให้ท้องอืด เพราะเกิดก๊าซในกระเพาะอาหาร และสภาวะที่เป็นกรดของน้ำอัดลมก็ไม่เหมาะกับผู้ที่เป ็นโรคกระเพาะอาหารด้วย

 

ผลเสียของน้ำอัดลมต่อสุขภาพ
1. อ้วน ความหวานจากน้ำตาลถ้าดื่มมากและบ่อย สะสมพลังงานทำให้อ้วน การดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะต้องวิ่งเป็นเวลา 15-20 นาที จึงจะใช้พลังงานหมด
2. ฟันผุ เกิดจากกรดในน้ำอัดลมทำลายสารเคลือบฟัน และความหวานที่เป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ฟั นผุ
3. ปวดท้อง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่อัดในน้ำอัดลมจะกลายเป็นกรดคาร์บอนิก ซึ่งเป็นกรด จะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร เป็นโรคกระเพาะเกิดอาการปวดท้อง แก๊สในน้ำอัดลมทำให้ท้องอืด แน่นท้อง และปวดท้อง ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กและเป็นสาเหตุที่พบบ่อย ที่ผู้ปกครองต้องพาเด็กมาพบแพทย์ ด้วยอาการปวดท้อง
4. กระตุ้นหัวใจและระบบประสาท ผลจากคาเฟอีนในน้ำอัดลม มีผลกระตุ้นหัวใจทำให้ใจสั่น มือสั่น นอนไม่หลับ
5. กระดูกพรุน คาเฟอีนมีผลต่อการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสสูญเสียแคลเซียมจากร่างกาย และผลจากฟอสเฟตสูงในน้ำอัดลม ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำลง การดื่มน้ำอัดลมทำให้โอกาสของการดื่มนม และรับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ลดลง ส่งผลให้เป็นโรคกระดูกเปราะ กระดูกผุกร่อนได้ง่าย
6. ขาดสารอาหาร เด็กเล็ก ๆ ถ้าดื่มน้ำอัดลมมาก ๆ ในเวลาที่ใกล้จะถึงมื้ออาหารมื้อหลัก หรือในระหว่างรับประทานอาหาร จะทำให้อิ่มและรับประทานอาหารมื้อหลักได้น้อย ได้สารอาหารไม่ครบตามหลักโภชนาการ อาจขาดสารอาหารได้พิจารณาดูแล้วนอกจากรสชาติที่หลายคนชื่นชอบ ผลกระทบทางลบต่อสุขภาพดูจะเป็นข้อควรสอนให้เด็ก ๆ และผู้ปกครองได้รับรู้ และเป็นตัวแบบในการไม่สนับสนุน ในการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ ต่อลูก ๆ ของเรา
Great USA ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำอัดลมไว้ว่า คุณแม่ยังสาวคนหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากไตวาย ทั้งสองข้าง เธอได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเพอร์ทามิน่า เป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยได้รับอนุญาตให้กินได้แค่น้ำ 1 แก้วในหนึ่งวันเท่านั้น หมอให้การรักษาเธอ แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เธอเล่าว่าเธอดื่มน้ำ อัดลมตอนทานอาหารกลางวันทุกวัน แต่แม้ว่าเธอจะดื่มน้ำอัดลมเพียงวันละ 1 แก้ว มันก็สามารถทำลายอวัยวะภายในของเธอได้ ท้ายที่สุดเธอเสียชีวิตลง โดยทิ้งบุตรชายวัย 1 ขวบไว้
ภัยที่คาดไม่ถึงของน้ำอัดลม บทความนี้ไม่ใช่บทความเกี่ยวกับเรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องซึ่งน่าสนใจมาก
สำหรับผู้ที่ชอบดื่มซึ่งคิดว่าคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับ น้ำอัดลมดีแล้ว น้ำอัดลมสามารถ....
- ทำความสะอาดห้องน้ำโดยการรินลงในโถชักโครก ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงกดชักโครก กรดซิติกในน้ำอัดลม จะขจัดคราบสกปรกได้อย่างดี
- ใช้กำจัดจุดสนิมบนกันชนรถโดยการขัดกันชน ด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ขยำเป็นชิ้นเล็ก ๆ และจุ่มน้ำอัดลม
- ใช้ทำความสะอาดรอย กัดกร่อนบนสายแบตเตอรี่รถ โดยการรินให้ทั่วสายแบต ฟองที่เกิดขึ้นจะช่วยขจัดรอยดังกล่าวได้
- ช่วยทำให้รอยสนิมบนม้วนผ้าจางลง โดยการจุ่มผ้าในน้ำอัดลมประมาณ 2-3 นาที
- ช่วยอบแฮมที่ชื้นได้ โดยการเทน้ำอัดลม 1 กระป๋องลงในกระทะ ซึ่งตั้งไฟไว้แล้วใส่แฮมที่ห่อด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ลง ไป แกะฟอยล์ออก 30 นาทีก่อนแฮมสุก และผสมแฮมกับน้ำอัดลมจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล
- ช่วยขจัดรอยฝังแน่นจากผ้าโดยการเทน้ำอัดลม 1 กระป๋องลงบนผ้าสกปรก เติมน้ำยาซักผ้าและซักตามปกติ จะช่วยทำให้คราบฝังแน่นจางลง และยังช่วยทำความสะอาดรอยน้ำ ซึ่งกระเด็นจากถนนบนกระจกรถได้อีกด้วย ถ้าจะให้เลิกดื่มน้ำอัดลมซะทีเดียว มันก็เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าจำเป็นต้องดื่มจริง ๆ ก็ควรจะดื่มให้น้อยลง ไม่ควรดื่มมากเกินไป
น้ำอัดลมเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก และเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงว่า มันจะมีอันตรายต่อสุขภาพของคนเราเหมือนกัน 
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.9 | SMF © 2006-2008, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!