บอร์ดสนทนา สสจ.ลพบุรี
เมษายน 25, 2024, 10:47:24 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: จะ POST กระทู้...กรุณาสมัครสมาชิกก่อนครับเพื่อป้องกัน Spam ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พบความมหัสจรรย์ของลูกเดือย  (อ่าน 52416 ครั้ง)
DEWS
น้องใหม่ซิงๆ
*
กระทู้: 23


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: ตุลาคม 16, 2010, 06:45:50 am »

ลูกเดือย
ลูกเดือย เป็นพืชพื้นเมืองทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทยถือเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของประ เทศ มีการเพาะปลูกมากในแถวภาคเหนือและภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ ลูกเดือยมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีสารอาหารสูงโดยเฉพาะ อย่างยิ่งจำพวกโปรตีน แล้วยังพบสารที่มีองค์ประกอบเป็น กรดอะมิโนรวมถึงวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น วิตามิน บี 1 บี 2 วิตามิน อี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น จากการค้นคว้าวิจัยยังพบว่ามีสารหลายตัวที่มีสรรพคุณ ช่วยในการรักษาเกี่ยวกับโรคภูมิคุ้มกันและยับยั้งสารส่ง เสริมการก่อมะเร็ง ลดโคเลสเตอรอลในเลือดและอื่นๆ
ลูกเดือย ภาษาจีนเรียกว่า  “ก๋ำบี้”  “ห่วยห่วยบี้”  “ขีซิก”  หรือ  “อิ๊กบี้”  เป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ คนจีนนิยมกินลูกเดือยโดยเชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงชั้นเยี่ยม และเป็นยาอายุวัฒนะ              อีกชนิดหนึ่ง ลูกเดือยสามารถแปรรูปเป็นแป้งลูกเดือย ข้าวลูกเดือย และหมักเป็นเบียร์หรือไวน์
สรรพคุณ
•    ลูกเดือยมีฤทธิ์เย็น มีกลิ่นหอมเล็กน้อย ช่วยบำรุงปอด ม้าม ช่วยย่อย ขับปัสสาวะ ลดไข้ ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ลดการเกิดกระ รักษาหูด ลดการเกิดมะเร็ง เพราะมีสารคอกซีโนไลด์  (coxenolide) ที่ช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอกได้
•    ลูกเดือยมีซิลิกอน (silicon) ที่ช่วยบำรุงผิวและผม มีวิตามินบี 1 บี 2 ที่ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคเหน็บชา
•    ช่วยบำรุงกำลัง จึงเหมาะกับผู้ป่วยพักฟื้น เด็ก และผู้สูงอายุ
โรคเกาต์ มีคนเป็นกันเยอะ เมื่อเป็นแล้วทรมานมาก โดยเฉพาะถ้ากินอาหารจำพวกสัตว์ปีกและอาหารจำพวกเครื่องในเข้าไป อาการเกาต์กำเริบขึ้นมาทันที ส่วนใหญ่จะบวมเป่งบริเวณข้อเท้า ร้อนผ่าว ปวดมาก ถึงขนาดเดินไม่ได้เลยทีเดียว ต้องกินยาที่แพทย์จัดให้ เป็นประจำ แต่กว่าอาการจะทุเลาลงหรือหายปวดบวมต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งค่อนวัน ทำให้เสียงานเสียการไปเลย ซึ่งโรคเกาต์ควบคุมได้ ถ้าไม่กินอาหารที่เป็นสัตว์ ปีกหรือเครื่องใน อาการปวดบวมจะไม่เกิด หรือหากเกิดก็เพียงเล็กน้อย โรคเกาต์เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด เมื่อกินของผิดสำแดงเข้าไปอาการจะกำเริบทันที ต้องมียาหมอกินเป็นประจำ
ในส่วนของสมุนไพร มียาแก้เกาต์กันหลายสูตร รวมทั้ง “ยาต้มคลายเส้นไม้-เท้าเฒ่าอาลี” ก็ช่วยได้ แต่ไม่ได้รักษาให้ หายขาด เพียงแต่ควบคุมไม่ให้เกิดอาการปวดบวมเมื่อกินอาหารต้องห้ามเข้าไป ดีกว่าปล่อยให้ปวดบวมเดินไม่ได้ ส่วนสูตร “ลูกเดือย” แก้เกาต์ เป็นสูตรผู้เฒ่า ผู้แก่บอกกันต่อมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วว่า ใครรู้ตัวว่าเริ่มจะเป็นเกาต์ในยุคสมัยก่อน ให้เอา “ลูกเดือย” หุงรวมกับข้าวเจ้าอัตรา ส่วน “ลูกเดือย” 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน กินทุกมื้อกับอาหารเป็นประจำ จะช่วยทำให้คน ที่เริ่มจะเป็นเกาต์ไม่เป็นเกาต์อีก ส่วนคนที่เป็นอยู่แล้ว อาการปวดบวมจะน้อยลงมาก แม้จะกินอาหารต้องห้ามเข้าไป
ชาวญวน ในประเทศไทยนิยมเอา “ลูกเดือย” นึ่งกับข้าวเหนียวปนน้ำขมิ้นทำให้ข้าวเหนียวเป็นสีเหลือง พอนึ่งสุกโรยด้วยงาขาวหรืองาดำ ห่อด้วยใบตองขายกินกับหมูย่างตะไคร้และเนื้อย่างแห้งๆ หอมอร่อยมาก ได้ประโยชน์ ช่วยบรรเทาเกาต์ดีนัก ปัจจุบันไม่มีใครทำขายแล้ว
ลูกเดือย หรือ COIXIACHRYMA JOBI LINN. อยู่ในวงศ์ GRAMINEAE มีสรรพคุณเฉพาะ ใช้เป็นยาเย็น ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงม้าม บำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอดดีมาก
คุณค่าทางอาหาร ลูกเดือยมีฟอสฟอรัสอยู่ในปริมาณสูง จึงช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และมีวิตามินบีหนึ่งมาก ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเหน็บชา อีกทั้งเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง จึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง และเหมาะสำหรับคนไข้พักฟื้น คุณค่าทางยา ใช้ชงป็นยาเย็น ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต กระเพาะอาหาร ม้าม รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอด รักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง
ลูกเดือยมีสารอาหารมากมายที่คุณคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 วิตามินเอ โพแทสเซียม โปรตีนคุณภาพสูงเทียบเท่าโปรตีนที่ได้จากข้าวโอ๊ต ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซียม ใยอาหาร

ในลูกเดือยยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง เป็นต้น ดังนั้นลูกเดือยเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง จึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง และการที่มีวิตามินบีหนึ่งสูงจึงช่วยแก้เหน็บชา

ในตำรายาจีนกล่าวว่า ลูกเดือย รสชุ่มจืด เย็น แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงม้าม ปอด กระเพาะอาหาร ม้าม ขับปัสสาวะ รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอดรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย แก้ไข้ เหน็บชา ชักกระตุก สตรีตกขาวมากกว่าปกติ

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ว่าสาร coxenolide ในเมล็ดเดือยมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอก และพบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้น ทำให้เส้นผมเจริญดีขึ้น

ลูกเดือยยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยังยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก

มีการทดลองพบว่าเมล็ดลูกเดือยมีสาร Coixans A, B และ C ลดน้ำตาลในเลือดหนูปกติ Coixan A มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดหนูเป็นเบาหวานได้
สำหรับน้ำลูกเดือยให้ฟอสฟอรัสสูงมากช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงธาตุ เป็นอาหารสำหรับคนไข้พักฟื้น ช่วยเจริญอาหาร

นอกจากนี้ลูกเดือย มีกรดอะมิโนที่กระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอนหลับ สมองที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา จะได้หยุดพักชั่วคราว จึงแนะนำให้ผู้ที่นอนไม่หลับ ดื่มน้ำอุ่นผสมลูกเดือยอาจจะช่วยให้นอนหลับได้
.ลูกเดือย
Coix lachryma-jobi Linn.
Job‘ s Tear
Gramineae

ฤทธิ์ยับยั้งสารส่งเสริมการก่อมะเร็ง

สารสกัดลูกเดือยด้วยเมธานอล และ a-monolinolein ซึ่งแยกมาจากสารสกัดเมธานอล มีผลยับยั้งการกระตุ้น Epstein-Barr Virus early antigen ของสารที่ส่งเสริมการก่อมะเร็ง (tumor promoter) เช่น 12-o-tetradeca-noylphorbol-13-acetate (TPA) และมีผลยับยั้งการเกิดมะเร็งในหนูถีบจักร (ICR mice) ซึ่งใช้ methylbenz-anthracene เป็นสารเริ่มก่อมะเร็ง (tumor initiator) และ TPA เป็นสารส่งเสริมการก่อมะเร็ง

ฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์
การศึกษาความเป็นพิษต่อเม็ดเลือดขาวของคน โดยทดสอบกับสารสกัดด้วยน้ำร้อนของ pericarps , เปลือกหุ้มเมล็ด, astringent seed coat ของลูกเดือย และลูกเดือย พบว่าสารสกัดเฉพาะจากเปลือกหุ้มเมล็ดเท่านั้นที่เป็นพิษต่อเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้ลูกเดือยยังมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ต้านยีสต์ เร่งการงอกของเส้นผม เร่งการสร้างผิวหนังและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันและทำให้เชื้อสเตร็ปโตค็อคคัยเกาะกลุ่ม ทำให้อสุจิเกาะกลุ่ม ต้านอักเสบ ลดโคเลสเตอ รอลในเลือด ลดความดันโลหิตสูง ลดอุณหภูมิกาย แก้ปวดและขับปัสสาวะ เหนี่ยวนำให้เกิดการตกไข่ ต้านเอนไซม์ amylase
****************************
เรื่องน่ารู้ของเดือย : ธัญพืชเพื่อสุขภาพ ขับปัสสาวะ ต้านมะเร็ง รักษาหูด
ในสมัยเด็ก เคยเห็นต้นเดือยอยู่หนึ่งกอที่ข้างบ่อน้ำหลังบ้าน เมล็ดลูกเดือยลักษณะเหมือนหยดน้ำ เปลือกแข็งๆ มีไส้ตรงกลาง เวลาดึงออกจะเป็นรูให้เด็กน้อยร้อยเป็นสายสร้อยใส่ได้อย่างดี มันดูสวยงามยิ่งนักในความรู้สึกของเด็กๆ ในงานบุญที่วัดตอนออกพรรษา ยังเห็นพวกผู้ใหญ่เอาลูกเดือยมาร้อยเป็นพวงระย้า ตกแต่ง แวววาว ประดับประดาปนกับดอกไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ต่างๆ ดูสวยงามราวกับการเฉลิมฉลองการกลับมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากสรวงสวรรค์จริงๆ
ตอนนั้นรู้ว่าลูกเดือยกินได้เพราะพวกผู้ใหญ่เอามาทำขนมลูกเดือยเปียกให้กิน ผู้ใหญ่มักบอกว่ากินลูกเดือยแล้วมันเป็นยา จึงพยายามกัดแทะเจ้าลูกเดือยหินหลังบ้านกินบ้างแต่ก็กัดไม่เข้าเพราะเปลือกมันแข็งมาก พอโตขึ้นจึงรู้ว่าลูกเดือยมีสองชนิด ชนิดที่มีเปลือกผลแข็งชาวบ้านมักเรียก เดือยหิน เป็นชนิดที่กินไม่ได้ แต่ชาวบ้านนิยมปลูกไว้เพื่อเป็นยาและไว้ทำสายสร้อย ชาวเขาพวกกะเหรี่ยงแม้วยังปลูกไว้ทำเป็นลูกปัดประดับกระเป๋า ย่าม เสื้อ เป็นต้น และอีกชนิดที่มีเปลือกผลอ่อนนั้นกินได้ ชาวบ้านเรียก เดือยกิน หรือ เดือย เฉยๆ ซึ่งมีการปลูกเพื่อใช้ทำเป็นอาหารและทำยาได้เช่นกัน
การที่เจ้า เดือยหิน มีเปลือกแข็งกินไม่ได้นั้นกระมัง จึงทำให้ตอนนี้เดือยหินได้หายไปจากหมู่บ้านจนไม่มีเหลือเลยสักกอ ทั้งที่แต่ก่อนมีอยู่ตั้งหลายกอ สายสร้อยมุกแสนสวยของเด็กน้อยเลยหายไปด้วย ในงานวัดจึงเหลือแต่สายสร้อยพลาสติกสีฉูดฉาดตามตลาดมาแขวนแทน ใครจะรู้บ้างนะว่าคนโบราณเชื่อว่า ถ้าสวมสายสร้อยที่ร้อยด้วยลูกเดือยแล้วจะทำให้ “โชคดี”
ส่วนเดือยกินนั้นไม่เคยมีในหมู่บ้านอยู่แล้ว ถ้าอยากทำขนมก็จะไปหาซื้อมาจากตลาด เจ้าเดือยกินนั้นอาการไม่น่าเป็นห่วงเพราะยังมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ยังใช้ทำอาหารหวานกินกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทำได้หลากหลายแบบโดยต้องทำให้สุกก่อนเช่น ทำลูกเดือยเปียก ลูกเดือยใส่กะทิ ใส่น้ำแข็งไส ใส่น้ำเต้าหู้ น้ำเต้าทึง เป็นต้น
เดือย… ยาขับปัสสาวะ รักษาระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าอีกสี่สิบปีภายหลัง ได้มีโอกาสเจอเจ้า เดือยหิน อีกครั้ง เนื่องจากตัวเองป่วยเป็นโรคระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ คุณแม่ของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ซึ่งอยู่ที่บ้านชุมชนไทยพวน ตำบลบ้านดงกระทงยาม อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรีได้ฝากยาต้มมาให้ ยาต้มที่ว่านี้ประกอบด้วยตัวยา ๓ อย่างคือ เดือยหินทั้ง ๕ หญ้าหนวดแมว ซาคนที (คนทีสอ) ต้มเคี่ยวเข้าด้วยกัน หลังจากกินยาตำรับนี้แล้วอาการดีขึ้น ยาตำรับนี้เป็นตำรับประจำของคุณยายอายุ ๘๔ ปี ซึ่งมีอาการปัสสาวะไม่ออก ปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะออกนิดเดียว ซึ่งคุณยายมักมีอาการนี้เป็นประจำ ทางบ้านจึงมีตำรับนี้ไว้ให้คุณยายใช้เมื่อมีอาการและได้ทราบว่าในชุมชนไทยพวนที่บ้านดงกระทงยาม และอีกหลายบ้านปลูกเดือยหินไว้เพื่อใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (รักษาอาการหลังเวลาปัสสาวะแล้วยังรู้สึกปวดปัสสาวะอยู่ หรือมีอาการปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะเป็นหยด ปัสสาวะไม่ออก ที่ทางการแพทย์แผนใหม่จะเรียกโรคและอาการนี้ว่า “ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ”)
นอกจากใช้เป็นยาขับปัสสาวะแล้ว หมอยาในหลายพื้นที่ยังนิยมใช้รากเดือยต้มกินแก้ปวด แก้ไข้ แก้ไอ อีกด้วย
พืชตระกูลข้าวส่วนใหญ่แล้วจะมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ เดือยก็เช่นกัน โดยมากฤทธิ์จะอยู่ที่ราก วิธีใช้ให้เอาทั้ง ๕ ต้มกินเป็นยาขับปัสสาวะ จะใช้เป็นเดือยตัวเดียวหรือใช้ร่วมกับสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะตัวอื่นก็ได้ การที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ในการรักษาระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบแล้ว ยังช่วย “ลดอาการบวมน้ำ ลดความดัน” ได้ด้วย
ลูกเดือย…สุดยอดธัญพืชเพื่อสุขภาพ สมุนไพรต้านมะเร็ง
ในอดีตคนจีนนิยมใช้ลูกเดือยผสมกับข้าวต้มรับประทาน เพื่อบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อเรื้อรัง บำรุงม้ามและปอด แก้ท้องเสีย แก้เหน็บชา ทำให้ผิวสวย แก้ร้อนใน และยังช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง ลูกเดือยให้พลังงานแก่ร่างกายสูงจึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง ที่สำคัญคือมีวิตามินบีหนึ่งมากกว่าข้าวกล้อง การที่มีวิตามินบีหนึ่งสูงนี่เองทำให้ลูกเดือยช่วย “แก้เหน็บชา” ตามความเชื่อของชาวจีนได้
เดือยเป็นอาหารสมุนไพรที่ “เหมาะกับผู้หญิง” อย่างยิ่ง คนสมัยก่อนเชื่อว่ากินลูกเดือยทำให้ผิวสวย ผมสวย บำรุงมดลูก การศึกษาสมัยใหม่พบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้น ทำให้เส้นผมเจริญดีขึ้น ทั้งยังมีการศึกษาพบว่าสารสกัดของลูกเดือยมีผลกระตุ้นการเจริญของ ovarian follicle และกระตุ้นให้ไข่ตก
นอกจากนี้เดือยยังเป็นส่วนประกอบหนึ่งใน น้ำอาร์ซี เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพยอดฮิตของผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยบำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยให้กินอาหารได้ นอนหลับ ป้องกันโรคเหน็บชา โดยน้ำอาร์ซีนั้นประกอบด้วยข้าว ๙ ชนิด มีข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต เป็นต้น ข้าวทั้ง ๙ ชนิดนี้จะเอามาต้มรวมกัน โดยใส่เม็ดบัวและลูกเดือยเข้าไปด้วย เมื่อข้าวต่างๆ นอนก้นแล้วจึงตักน้ำใสๆ มาดื่มขณะที่ยังร้อน น้ำใสๆ นั้นเรียกว่า “น้ำอาร์ซี” ซึ่งจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าสาร coixenolide ในเมล็ดเดือย มีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอก เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้น น้ำลูกเดือย หรือน้ำที่มีลูกเดือยเป็นส่วนประกอบอย่างเช่น น้ำอาร์ซีนั้น จึงเหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มของผู้ป่วยมะเร็งอย่างยิ่ง
น้ำอาร์ซี (RC, rejuvenating concoction) มาจากคำที่ คุณสาทิส อินทรกำแหง ต้นตำรับแนวคิด “ชีวจิต” ให้บัญญัติคำนี้ขึ้นมาแปลเป็นไทยได้ว่า “ส่วนผสมเพื่อเพิ่มความกระชุ่มกระชวย”
ลูกเดือย…แก้หูดเรื้อรัง ต้านเนื้องอก
ชาวบ้านในอดีตนิยมใช้ลูกเดือยต้มกินรักษาเนื้องอกในท้อง ปอด และหูด ในตำรายาจีน ลูกเดือยยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง โดยมีการทดลองในคนไข้ ๒๓ ราย ให้กินลูกเดือย ๖๐ กรัม ต้มรวมกับข้าวรับประทานวันละ ๑ ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากกินลูกเดือยติดต่อกัน ๗-๗๖ วัน ได้ผลหายขาด ๑๑ ราย อาการดีขึ้น ๘ ราย ไม่ได้ผล ๖ ราย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้นหรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกก็แล้วแต่ ในท่านที่ต้องทนทุกข์กับการผ่าหูดแล้วผ่าหูดอีกไม่หายสักที ควรจะลองดูก็ไม่น่าเสียหายอะไร


ปัจจุบันจีนสกัดสารจากเมล็ดเดือยเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาและป้องกันมะเร็ง โดยยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อช่วยในการกำจัดมะเร็ง ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ช่วยลดความปวดจากมะเร็ง ทำให้น้ำหนักที่ลดลงเพิ่มขึ้น ลดผลข้างเคียงของการฉายรังสีและเคมีบำบัด โดยไม่มีผลต่อตับ ไต หัวใจและเลือด และสามารถใช้ร่วมกันได้ดีกับการรักษาโดยการผ่าตัด
การศึกษาทางเภสัชวิทยา พบฤทธิ์ที่สำคัญได้แก่ ขับปัสสาวะ แก้ปวด ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลและลดคอเลสเตอรอลในเลือด กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการตกไข่ เป็นต้น
________________________________________

สอบถามข้อมูลสมุนไพรกับเภสัชกรเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร โทร (๐๓๗) ๒๑๑๒๘๙
http://www.abhaiherb.com/
    
    
    
    
    

 

ขมิ้นชัน (ขมิ้น)
Curcuma domestica Valeton.( C. longa Linn.)
Zingiberaceae
ฤทธิ์ต้านมะเร็ง
นักวิจัยชาวอินเดียได้ทดลองพบว่า สารสกัดขมิ้นสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งมดลูกหนูแฮมสเตอร์ และเซลล์มะเร็งน้ำเหลือง  และพบว่าตัวสำคัญในการออกฤทธิ์นี้คือ เคอร์คิวมิน (Curcumin) นั่นเอง  และยังพบ ว่าลดการเติบโตของเนื้องอกในสัตว์ทดลองด้วย         นักวิจัยกลุ่มเดียวกันนี้ได้ทดลองทำขี้ผึ้งเคอร์คิวมิน (Curcumin) แล้วนำไปทดลองกับแผลมะเร็งภายนอก  พบว่ากลิ่นเน่าลดลง ลดอาการคัน แผลแห้ง 70% และ 10% แผลเล็กลง ปวดน้อยลง
ได้มีผู้รายงานฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งของสารสกัดจากขมิ้น  และเคอร์คิวมิน (Curcumin)  โดยสารสกัดในขนาด 0.4 มก./มล.  สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งทั้งในหลอดทดลองและในหนูถีบจักร  ส่วน เคอร์คิวมิน (Curcumin)  ให้ผลเมื่อให้ในขนาด 4 ไมโครกรัม/มล. และได้มีผู้ทดลองกับคนไข้ 62 ราย ใช้สารสกัดด้วยอีเธอร์และขี้ผึ้งเคอร์คิวมินในการรักษามะเร็งผิวหนัง  พบว่าสามารถลดกลิ่น 90 % และลดอาการคัน เกือบทุกคนแผลแห้ง 70% และ 10% ของคนไข้พบว่าแผลเล็กลงและอาการเจ็บลดลง  และในคนไข้หลายคนมีผลต่อไปหลายเดือน  ต่อมามีผู้รายงานว่านอกจาก เคอร์คิวมิน (Curcumin) แล้วยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง คือ a-curcumene, ar-turmarone, b-atlantone
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์
ได้มีผู้ทดลองฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์ของขมิ้น  แต่ไม่พบว่ามีผลก่อกลายพันธุ์ของเซลล์ไขกระดูกหนูถีบจักร  Nagabhushan ได้รายงานว่าสารสกัดขมิ้นด้วยอัลกอฮอล์ของขมิ้นสดหรือแห้ง และเคอร์คิวมินไม่ทำให้ Salmonella typhimarium ก่อกลายพันธุ์  แต่เคอร์คิวมินสามารถลดการก่อกลายพันธุ์ของพริก
การทดสอบความเป็นพิษ
ได้มีผู้ทดสอบความเป็นพิษของขมิ้นและสารสกัดขมิ้นด้วยอัลกอฮอล์  พบว่าในขนาด 2.5 ก./กก. และ 300 มก./กก.ตามลำดับ ไม่พบอาการพิษ Ramaprasad ได้ทดลองความเป็นพิษเฉียบพลันของโซเดียมเคอร์คิวมิเนท  (Sodium curcuminate)  พบว่าเมื่อให้หนูขาดกินหรือฉีดเข้าช่องท้อง  หลอดเลือด  ในขนาด 500 มก./กก. ไม่พบว่ามีสัตว์ทดลองตาย  แต่ในหนูถีบจักรมีอาการพิษตั้ง 250 มก./กก. และเมื่อทดลองฉีดโซเดียมเคอร์คิวมิเนท (Sodium cucurminate)  เข้าช่องท้องหนูขาดในขนาดเดียวกัน คือ 500 มก./กก. เป็นเวลา 7 วัน  ไม่พบว่ามีหนูตาย  ปริมาณเม็ดเลือดก็ปกติ  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของตับ ไต เมื่อตัดเนื้อ ตับ ไต ม้าม ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อ  จะเห็นว่าโซเดียมเคอร์คิวมิเนท (Sodium cucurminate) ค่อนข้างปลอดภัย
ความปลอดภัยของขมิ้น
แม้จะได้รับในขนาดถึง 2.5 ก./กก. ก็ยังไม่พบอาการเป็นพิษเฉียบพลัน  ต่อมามีผู้รายงานว่า    เคอร์คิวมิน (Curcumin) ก็ปลอดภัยด้วย  เพราะขนาดที่ทำให้หนูถีบจักรตายครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ทดลองคือ 2 ก./กก.  แม้ว่าจะมีรายงานความเป็นพิษของโอเรโอเรซินซึ่งมีเคอร์คิวมินเป็นส่วนประกอบสำคัญต่อหนูซึ่งผสมสารสกัดนี้ในอาหาร  โดยให้หนูได้รับสารสกัด 60, 296 และ 1,551 มก./กก.  ในขนาดที่สูงสุดทำให้น้ำหนักหนูลดลง  และมีความผิดปกติของไทรอยด์ กระเพาะปัสสาวะและไต  และยังมีผู้พบอีกด้วยว่า  ขมิ้นไม่เหมาะกับการเจริญของเชื้อรา  และการสร้างอัลฟลาท๊อกซิน (Alflatoxin) ของรา

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.9 | SMF © 2006-2008, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!